ย้อนกลับไปวันนี้เมื่อ 75 ปีที่แล้ว 13 ธันวาคม 1937
กองทหารแห่งลูกพระอาทิตย์เข้าปิดล้อมเมืองนานกิง(เมืองหลวงของสาธารณรัฐจีนในขณะนั้น)ได้เป็นผลสำเร็จ กองกำลังทหารจีนที่เหลืออยู่ในเมืองหลายหมื่น ส่วนใหญ่ยอมจำนน และเป็นเชลยสงคราม จะมีการปะทะกันก็แต่เพียงบางจุด เนื่องจากกองกำลังหลักแห่งสาธารณรัฐจีนถอยออกจากเมืองไปแล้ว จากค่ำคืนอันหนาวเหน็บนี้ไปอีก 6 สัปดาห์ คือหนึ่งเหตุการณ์อัปยศที่หน้าประวัติศาสตร์สงครามสมัยใหม่ได้บันทึกไว้ นี่คือวันเริ่มต้นแห่ง “การสังหารหมู่ที่นานกิง”
การสังหารหมู่กระทำกันอย่างเป็นระบบ เช่นเดียวกับการทรมาน ข่มขืน ไม้เว้นแม้แต่ คนชรา หญิงท้องแก่ หรือเด็กทารก แม้นักธุรกิจชาวเยอรมันอย่าง John Rabe จะร่วมกับนายแพทย์ชาวอเมริกัน และอาศัยชื่อพรรคนาซีซึ่งเป็นพันธมิตรกับกองทัพญี่ปุ่นจัดตั้งเขตปลอดภัยขึ้น แต่กองกำลังญี่ปุ่นก็รวมกลุ่มเข้ามาในเขตปลอดภัยเพื่อข่มขืน จับชาวจีน หรือเข้ามาฆ่าทหารบาดเจ็บไม่เว้นวัน
สื่อและภาพยนต์ที่ฉายภาพเรื่องราวเหล่านี้มีอยู่มากมาย หนึ่งในนั้นคือภาพยนต์ของ ผู้กำกับเลือดใหม่ “ลู่ชวน” ในชื่อภาพยนต์ว่า “หนานจิง หนานจิง” (City of life and death) สร้างขึ้นเมื่อปี 2009 ภาพยนต์เรื่องนี้แตกต่างจากเรื่องอื่นๆ เมื่อสายตาที่จับจ้องสงครามครั้งนี้มาจากหลายฝ่าย ไม่เว้นแม้กระทั้งจากฝั่งพลทหารญี่ปุ่น ความน่าสนใจจึงไม่ใช่การถ่ายทอดความโหดร้ายของกองทหารญี่ปุ่นที่เปรียบเสมือน ผีห่าซาตาน ดังเช่นในเรื่องอื่นๆ แต่สิ่งที่ถ่ายทอดมาทั้งหมดทำให้เห็นความแหลกรานของความเป็นมนุษย์ ที่มีเลือดมีเนื้อของ ทุกฝ่ายเมื่อต้องเข้าสู่สถานการณ์นี้
ด้านการเตรียมการตั้งแต่ริเริ่มที่จะถ่ายทำ จนถึงถ่ายทำเสร็จสิ้นใช้เวลาทั้งหมด 4 ปี ทีมนักแสดงที่ร่วมแสดงมีนักแสดงสัญชาติญี่ปุ่นร่วมแสดงเป็นนายทหารญี่ปุ่น ระหว่างการถ่ายทำ บรรยากาศในช่วงการถ่ายทำเหมือนกับต้องเข้าไปร่วมในเหตุการณ์ครั้งนั้นจริงๆ ความกดดันที่ทีมงานได้รับ มีทั้งทางฝั่งจีนและฝั่งญี่ปุ่น ในฉากที่นายทหารญี่ปุ่นเดินอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง นักแสดงญี่ปุ่นคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาเองว่า “อยากกลับญี่ปุ่นโว้ย” ทันใดนั้นนักแสดงอีกคนซึ่งแสดงเป็นหัวหน้าหมวดก็เดินเข้าไปชก รอยชกยังบวมไปอีกหลายวัน… เป็นบทบาทที่นักแสดงแสดงออกมาเอง ไม่ได้จัดฉากขึ้นมา และผู้กำกับก็ได้นำเข้ามาใส่ไว้ในภาพยนต์ด้วย
นอกจากต้องทำการถ่ายทำแล้ว ตกเย็นผู้กำกับยังคงต้องร่วมวงดื่มเหล้ากับบรรดาทีมงานและนักแสดงเพื่อปรึกษาหารือกัน เพื่อให้หนังมีความสมจริงและนักแสดงเข้าถึงบทบาทโดยแท้จริงมากขึ้น และเนื่องจากเป็นหนังที่ต้องใช้ทุนสร้างสูงในการจำลองเมืองหนานจิงขึ้นมา ตกเย็นจนถึงค่ำของทุกวัน ผู้กำกับยังคงต้องโทรรายงานเรื่องงบประมาณกับผู้ให้กู้ต่างๆหลายลาย เพื่อจัดหางบให้เพียงพอ ความกดดันทั้งด้านเรื่องราวของหนัง และหน้าที่รับผิดชอบ ทำให้ ลู่ชวน เอ่ยปากว่า “ผมจะไม่ทำอะไรแบบนี้อีกแล้ว”(ทั้งหนังที่กดดัน กับการต้องควบคุมทุกอย่างด้วยตัวเอง) ทุกวันนี้ฉากถ่ายทำภาพยนต์เรื่องนี้ กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของท้องถิ่นไปแล้ว
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจากฉากจำลองนี้ เกิดขึ้นในวันสุดท้ายของการถ่ายทำ เนื่องจากตอนทีมงานเข้ามาก่อสร้างฉากเสร็จเรียบร้อย ชาวบ้านและส่วนปกครองท้องถิ่นขอให้ทีมงานอย่าทำลายฉาก และจะขอไว้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว วันสุดท้ายของการถ่ายทำมีฉากระเบิด เกิดเหตุเพลิงไหม้ลูกลามจนฉากกำแพงเมืองส่วนใหญ่เสียหายไป ชาวบ้านพากันมาปิดล้อมผู้กำกับ กล่าวหาว่าทีมงานจงใจเผาฉากนี้ทิ้ง จงใจให้ไม่เหลือไว้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ผู้กำกับและผู้ช่วยอีกคนต้องตกอยู่ในวงล้อมของชาวบ้านและเจรจาอยู่เนิ่นนาน กว่าสถานการณ์จะคลี่คลายลงได้ ทั้งๆที่ฉากนั้น สร้างโดยเงินของทีมภาพยนต์และถือเป็นสมบัติของบริษัทผู้สร้างแท้ๆ…
การทะเลาะเบาะแว้งกันในกองถ่ายระหว่างชาวจีนกับชาวญี่ปุ่นเกิดขึ้นบ้าง ครั้งใหญ่สุดคือในฉากพิธีตีกลองฉลองชัยชนะของกองทัพญี่ปุ่น เนื่องจากมือกลองโบราณที่มาจากโตเกียว เห็นนักแสดงชาวจีนที่แสดงเป็นกองทหารญี่ปุ่นไม่ตั้งใจซ้อม แถมพูดคุยไม่ใส่ใจในพิธีกรรมนี้ เมื่อตักเตือนหลายครั้งแล้วไม่ฟังจึงกระโดดลงมาจากแท่นเข้าชกนักแสดงจีนคนนั้น หลังจากเหตุชุลมุนและห้ามปรามอยู่พักใหญ่ สุดท้ายทางผู้กำกับต้องให้นักแสดงจีนคนนั้นไปขอขมามือกลอง เป็นที่รู้กันในชาวญี่ปุ่นว่า การเป็นมือกลองโบราณเช่นนี้ เป็นสิ่งที่สืบทอดประจำตระกูลเท่านั้น และจัดเป็นผู้สืบทอดพิธีกรรมสำคัญของชาติญี่ปุ่น ถือเป็นผู้มีเกียรติสูงในสังคมญี่ปุ่น
และฉากนี้ก็เสี่ยงที่จะเป็นที่กังขาและเป็นหนึ่งในข้อกล่าวหาว่า ผู้กำกับเข้าข้างและบูชาฝ่ายญี่ปุ่น สื่อจีนและเพื่อนๆซักถามว่าการใส่ฉากนี้เข้ามาเป็นไปเพื่อเหตุใด “ผมไม่กังวลเพราะมันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง และผมว่าแบบนี้ก็ดีอยู่เหมือนกัน ถามมาผมก็ตอบไป ถ้ามีโอกาสได้อธิบาย เขาก็เข้าใจ ผมรู้สึกว่าจีนเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ได้มีการใส่หมวกให้ใครไปโดยไม่ซักถามแบบสมัยก่อน”
กระนั้นก็ตาม ภาพยนต์เรื่อง หนานจิง หนานจิง เมื่อฉายช่วงแรก ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้ชมและสื่อในเรื่องที่ว่า ประณีประนอมกับฝั่งญี่ปุ่นมากเกิน ภาพลักษณ์ของฝั่งญี่ปุ่นดูมีมนุษยธรรมและมีเหตุมีผลเกินไป ทำให้เสียงโดยรวมออกไปทางการโจมตีเสียมากกว่า “ผมรู้สึกเสียดายที่คนติติงเรื่องนี้มากเกินจนมองข้ามเทคนิคการเล่าเรื่อง หรือมุมมองที่มีต่อสงคราม” ผู้กำกับกล่าว แต่หลังจากที่หนังได้ออกไปสู่ต่างประเทศ เสียงตอบรับจากต่างประเทศเป็นไปในเชิงบวก ซึ่งนั่นอาจเป็นเพราะชาวจีนทั้งหลาย ยังอยู่ใกล้กับความโหดร้ายของสงครามนี้ยิ่งนัก ทั้งในมิติของเวลาและสถานที่ อีกทั้งความตึงเครียดของเรื่องราวในสงครามครั้งนี้ ก็มีเหตุให้ต้องให้ปะทุขึ้นหลายต่อหลายครั้งในประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ของจีนและญี่ปุ่น
อย่างไรก็ดี ผู้กำกับมีความหวังที่จะนำภาพยนต์เรื่องนี้เข้าฉายที่ญี่ปุ่นด้วย ในฐานะหลักฐานและการบันทึกไว้ว่าเหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นจริงและไม่ควรเกิดขึ้นอีกต่อไป
ทศวรรษที่ 70 เมื่อทูตญี่ปุ่นเข้าฟื้นสัมพันธ์กับจีน ทูตญี่ปุ่นแบ่งรับแบ่งสู้เรื่องการสังหารหมู่ นายกรัฐมนตรีจีนโจวเอินไหลโกรธและต่อว่าทูตญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก จนเมื่อทูตญี่ปุ่นยอมรับและขอโทษกับเหตุการณ์นี้ นายกโจว จึงกล่าวขึ้นว่า สิ่งที่ต้องขอบคุณญี่ปุ่นในคราวนั้นก็มี เพราะ “ถ้าไม่มีญี่ปุ่น ก็ไม่มีจีนใหม่ในทุกวันนี้”
ณ วันที่ประเทศชาติอ่อนแอและแตกแยก แม้แต่เมืองหลวงของชาติยังปล่อยให้ใครเข้ามารุกรานย่ำยีทารุณ คือวันเริ่มต้นวันแรกๆที่ชาวจีนต้องจดจำไว้สอนตนเองว่า “จะมีก็แต่ชาติที่เข้มแข็งเท่านั้น จึงได้รับสิทธิอันเสมอภาคและได้รับเกียรติจากผู้อื่น” และนี่คือเรื่องราวของจุดกำเนิดจุดหนึ่งของความเป็นจีนใหม่ในทุกวันนี้ “นานกิง นานกิง”
前事不忘, 后事之师, 以史为鉴, 开创未来.
(อี่ซื่อปู๋ว่าง, โฮ่วซื่อจือซือ, อี๋สื่อเหวยเจี้ยน, ไคช่วงเว่ยไหล)
อย่าลืมอดีต เพื่อสอนอนาคต ประวัติศาสตร์คือกระจกเงา ส่องสร้างทางเบื้องหน้า