ประวัติศาสตร์จีนส่วนใหญ่ที่เรารับรู้ เป็นประวัติศาสตร์แห่งวีรบุรุษ ที่เชื่อว่าการตัดสินใจและการกระทำของบุคคลๆหนึ่งสามารถบังคับทิศทางประวัติศาสตร์ได้ เช่นถ้าฉินซีไม่รวบรวมแผ่นดินจีนเป็นหนึ่ง แผ่นดินจีนก็จะไม่มีวันรวมเป็นหนึ่ง ถ้าฉินซีไม่อยากจะปรับมาตรฐานชั่งตวงวัด และการเขียนตัวอักษรให้เป็นหนึ่งเดียว จะไม่มีใครทำ หรือแม้แต่การคิดค้นตะเกียบ จะต้องถูกคิดค้นโดยใครบางคนในประวัติศาสตร์ ซึ่งมักจะโยงกับบุคคลที่มีความสำคัญอยู่แล้ว ไม่ได้เกิดจากปัจจัยที่เต็มพร้อมทำให้เกิดขึ้น แต่กลับเป็นเพราะวีรกรรมของใครคนใดคนหนึ่ง แนวคิดนี้ตรงกันข้ามกับประวัติศาสตร์ที่มองว่าการเกิดขึ้นของเหตการณ์สำคัญๆ เป็นเพราะปัจจัยถึงพร้อม มากกว่าอิทธิฤทธิ์ของปัจเจกชน เพราะฉะนั้น ฉินซีฮ่องเต้ที่อยู่ผิดที่ผิดเวลา จะไม่สามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้
จะว่าไปหลายวัฒนธรรมก็คิดไม่ต่างกัน ที่มักจะยัดเยียดคุณงามความดี และความสามารถมากมายให้กับวีรบุรุษคนใดคนหนึ่ง ถ้าของจีนจะออกไปไกลกว่า ก็คือเมื่อเวลาผ่านไป บุคคลในประวัติศาสตร์มักถูกยกระดับขึ้นให้เป็นเทพเทวดา
เทพในวัฒนธรรมขงจื่อของจีน จึงมักเป็นบุคคลจริงในประวัติศาสตร์ คือ ขงเบ้ง เปาบุ้นจิ้น กวนอู หรืองักฮุย ไม่ใช่เทพแห่งน้ำ แห่งลม เจ้าแม่กาลี หรืออพอลโล่แบบวัฒนธรรมอื่นๆ นี่เป็นลักษณะพิเศษของวัฒนธรรมขงจื่อของจีนครับ นับถือคนมีคุณธรรม นับถือวีรบุรุษ ไม่นับถือเทพ แต่ด้วยความอ่อนไหวต้องการที่พึ่งที่เหนือธรรมชาติของมนุษย์เดินดิน จึงไม่พ้นต้องอัญเชิญวีรบุรุษทั้งหลายให้เลื่อนขั้นไปเป็นเทพ
และเมื่อยกให้เป็นเทพ ก็ต้องแต่งเติมให้สมบูรณ์แบบผิดมนุษย์มนาในด้านนั้นๆ เช่น ขงเบ้ง ก็ให้เก่งขนาดเรียกลมเรียกฝน หยั่งรู้ดินฟ้าได้ เปาบุ้นจิ้น ก็ต้องมีอิทธิฤทธิ์เดินทางไปสืบคดีความในปรโลกได้ เป็นต้น
คุณงามความดีของวีรบุรุษสุดเทพ จึงมักเป็นคุณความดีแบบสุดโต่ง คติความเชื่อที่ว่ากลุ่มคนธรรมดาจะแผลฤทธิ์ได้บ้าง หรือรวมตัวกันแล้วจะเก่งกว่า ยุติธรรมกว่า ยิ่งใหญ่กว่าหรือดีกว่าอัจฉริยะบุคคล จึงไม่ค่อยมีให้ได้ยินนัก
แต่ก็พอมีเล็ดลอดออกมาให้ประหลาดใจอยู่บ้าง เช่นสำนวนที่ว่า
“ช่างเครื่องหนัง 3 คน ก็แข่งกับขงเบ้งได้”
三个臭皮匠,赛过诸葛亮
สำนวนนี้ไม่ได้หมายถึงให้ช่างเครื่องหนัง 3 คนแข่งทำเครื่องหนัง หรือแข่งขึ้นต่อยตีกับขงเบ้งกันนะครับ แต่หมายถึงการแข่งขันด้านสติปัญญานี่แหละ ความหมายคือ ไม่ว่าขงเบ้งจะมีสติปัญญาล้ำเลิศและรอบคอบเพียงใด แต่หากต้องมาแข่งขันกับคนที่มีสติปัญญาและความสามารถธรรมดาๆที่ร่วมมือกัน คนธรรมดาๆก็ยังพอจะชนะได้
ทำไมต้องเป็นช่างเครื่องหนัง?
สาเหตุน่าจะเป็นเพราะคำว่า”ช่างเครื่องหนัง”ในภาษาจีน”พ้องเสียงกับคำว่า”รองแม่ทัพ” ที่มาของสำนวนนี้แต่ต้น จึงน่าจะบอกว่า “รองแม่ทัพ 3 คน ก็แข่งกับขงเบ้ง(แม่ทัพ)ได้”มากกว่า แต่ไม่ว่าจะเป็นรองแม่ทัพหรือช่างเครื่องหนัง ความหมายของประโยคนี้ก็ยังคงเดิมอยู่ดี คือ เชื่อในการทำงานเป็นทีมและการร่วมมือกันของคนระดับธรรมดา ว่าสามารถที่ขับเคลื่อนองค์กรณ์และโลกไปในทิศทางที่ถูกที่ควร พอๆกับการพึ่งพาเทพ วีรบุษ หรืออัจฉริยะ ฟังดูช่างสอดคล้องกับแนวคิดการบริหารทรัพยากรบุคคลสมัยใหม่
แล้วมันเป็นอย่างนั้นจริงหรือ?
ในหนังสือ The Wisdom of Crowds เขียนโดย James Surowiecki ทำการทดลองและศึกษา พบว่าหากให้ผู้คนจำนวนหนึ่งร่วมกันแก้ปัญหา มักจะได้คำตอบที่ตรงกว่า ดีกว่า หรือผิดพลาดน้อยกว่าให้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางแก้ปัญหาด้วยตัวคนเดียว
เช่น ให้ผู้คนที่มาดูงานปศุสัตว์ร่วมกันประมาณน้ำหนักวัว จะได้ตัวเลขที่ใกล้ความจริงมากกว่าผู้เชี่ยวชาญด้านปศุสัตว์คนเดียว โดยการทดลองทำหลายๆครั้งระหว่างผู้เข้าชมที่ร่วมมือกัน กับผู้เชี่ยวชาญเดี่ยวๆ แล้วหาค่าเฉลี่ยความใกล้เคียงน้ำหนักจริง
และอีกหลายการทดลองที่เกี่ยวกับการคลี่คลายปริศนา คิดหากรรมวิธีแก้ปัญหา ก็ค้นพบว่า ฝูงชนที่ร่วมมือกัน ผิดพลาดน้อยกว่าผู้เชี่ยวชาญที่คิดเองเออเองคนเดียวอย่างมีนัยยะสำคัญ
แต่ไม่ใช่ทุกการรวมตัวของคนจำนวนมากจะฉลาดกว่าเสมอไป เหตุการณ์บนโลกที่เรารู้เห็นกันอยู่ หลายต่อหลายครั้งกลับกลายเป็นคนรวมตัวกันจำนวนมาก กลับทำอะไรที่โง่ๆได้ไม่ยาก เช่น เมื่อมวลชนบ้าคลั่งทำลายบ้านเมืองครั้งใหญ่ในการปฎิวัติวัฒนธรรม หรือแม้แต่กลุ่มแมงเม่าในตลาดหลักทรัพย์ที่มักพ่ายแพ้แก่เจ้ามือกลุ่มน้อย เป็นต้น
เพราะฉะนั้นการทดลองของ James Surowiekcki ไม่ใช่การเข้าวัดผลจากกลุ่มคนโต้งๆ หากแต่ต้องมีเงื่อนไขที่ถูกต้องจึงทำให้กลุ่มคนจำนวนมากแก้ปัญหาได้ดี ซึ่งก็คือ
- ผู้คนที่เข้าร่วมมือกันต้องมีความหลากหลาย
- ต่างมีอิสระ ไม่ถูกครอบงำความคิดโดยคนอื่นในกลุ่ม
- กระจายอำนาจ ให้แต่ละคนได้คิดในด้านของตนอย่างมีน้ำหนักเท่าๆกัน
- มีกลไกการรวมความคิดแต่ละคนมาเป็นคำตอบคำตอบเดียว
ยิ่งบกพร่องในเงื่อนไขข้างต้นมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งลดความถูกต้องของกลุ่มมากเท่านั้น ฝูงชนที่คิดเห็นไปทางเดียวกันทั้งหมด ถูกครอบงำทางความคิด ให้น้ำหนักคนใดคนหนึ่งในฝูงชนมากเป็นพิเศษ และไม่มีกลไกที่จะรวบรวมความคิดของทุกคนมาแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ จึงไม่ได้อยู่ในนิยามนี้แต่อย่างใด ที่ว่าบูชาบุคคลมักพลาดได้ บูชาฝูงชนที่เงื่อนไขข้างต้นไม่พร้อมยิ่งผิดพลาดและน่ากลัวยิ่งกว่า
สำนวนจีนที่ว่า “ช่างเครื่องหนัง 3 คน ก็แข่งกับขงเบ้งได้” จึงยังต้องการเงื่อนไขกำกับมากกว่านั้น เช่น ต้องคอยระวังการครอบงำ การกระจุกอำนาจ และกลไกการรวมความคิดที่พิกลพิการ ที่สำคัญ ก็น่าจะเปลี่ยนเป็น “ช่างทำเครื่องหนัง, คนขายหมู, พ่อค้าขายถั่ว รวมตัวกัน ก็แข่งกับขงเบ้งได้” เพื่อความหลากหลาย
ขงจื่อยังเคยกล่าวไว้อีกว่า
“วิญญูชน สมานกันดี แม้มีความต่าง”
君子和而不同
(มองตะเกียบเห็นป่าไผ่ : Post today 08/02/2558)